วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การวัดความดันโลหิต(Measuring blood pressure)


การวัดความดันโลหิตถือเป็นเรื่องง่ายใกล้ตัวของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมทั้งพยาบาลทั้งในโรงพยาบาล และคลินิก
แต่ทำอย่างไรให้ถูกต้องตามมาตรฐานสากล จากการสุ่มตรวจการวัดความดันโลหิตของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ทั้งการสังเกต
และให้ลองทำให้ดู ในประสบการณ์ของแพทย์ พบว่าส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด)มีเทคนิคการวัดที่ไม่ถูกต้อง หรือถูกต้องบางส่วนแต่
ไม่สมบูรณ์ ….อะไรคือความผิดพลาดที่พบบ่อยในการวัดความดันโลหิต….ที่นี่มีคำตอบ
การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งองค์
ประกอบที่สำคัญ ต้องอาศัยทั้งเครื่องมือวัดความดันโลหิตที่ calibrate ได้มาตรฐาน, ขนาดcuff ที่เหมาะสม่ในแต่ละราย, การจัด
ท่าผู้ป่วย รวมทั้งเทคนิคการวัดที่ถูกต้อง
เวลาในการวัดความดันโลหิต และปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต
ในรายที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรวัดความดันโลหิตก่อนทานยา เพื่อดูผลของยาในช่วงที่ระดับยาต่ำที่สุด (trough
effect) และควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต ในระยะเวลา 60 นาทีก่อนวัดความดัน(3) ได้แก่ การรับประทานอาหาร,
การออกกำลังกาย(อาจทำให้ความดันลดลงได้), การสูบบุหรี่(ทำให้ความดันเพิ่มได้ชั่วคราว), การดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีสาร
คาเฟอีน(ทำให้ความดันเพิ่มได้) และงดยาที่กระตุ้นหัวใจเช่นยาแก้คัดจมูก.ยาหยอดตาขยายม่านตา และปัสสาวะให้เรียบร้อย
ก่อน
นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยง การพูดคุยขณะวัดความดันเพราะสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้ถึง 8-15 มม.ปรอท
และควรวัดความดันในห้องที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป
ชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิต
เครื่องมือวัดความดันที่เป็นที่ยอมรับกันว่า มีความแม่นยำที่สุด ได้แก่ เครื่องวัดแบบปรอท (mercury
sphygmomanometer) ส่วนเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ(automatic oscillometric BP measuring device) จะวัด
ความดันโลหิตได้ต่ำกว่าการวัดโดยใช้หูฟัง (auscultatory method)
ขนาด cuff
การใช้ cuff ที่เล็กเกินไป จะทำให้ได้ค่าความดันโลหิตที่สูงกว่าความเป็นจริง เช่น ในกรณีคนอ้วน อาจจะวัดความดัน
systolic ได้มากเกินจริงถึง 10-50 มม.ปรอท (4)
มาตรฐานของขนาดกระเปาะลมใน cuff ควรมีความยาวไม่น้อยกว่า 80% และความกว้างไม่น้อยกว่า 40% (บางแห่งใช้
46%) ของเส้นรอบวงของต้นแขน(กรณีวัดความดันที่แขน) โด_______ยการแบ่งขนาดของ cuff ใช้อ้างอิง arm circumference เป็นหลัก
-arm circumference 22-26 cm ใช้ “small adult cuff” ขนาด 12X22cm
-arm circumference 27-34 cm ใช้ “ adult cuff” ขนาด 16X30cm
-arm circumference 35-44 cm ใช้ “large adult cuff” ขนาด 16X36cm
ระดับความยาก ♦♦
บทความนี้เหมาะสำหรับ แพทย์,
พยาบาล, ผู้สนใจที่มีความรู้ทางการแพทย์
-arm circumference 45-52 cm ใช้ “adult thigh cuff” ขนาด 16X42cm
Pseudohypertension
เป็นภาวะที่วัดความดันโลหิตได้สูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเส้นเลือดมีการแข็งตัว (stiffness) เนื่องจากมีแคลเซียม
เกาะที่เส้นเลือดจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้ cuff pressure มากกว่าแรงดันโลหิต โดยมีค่าความดันโลหิตทั้ง systolic และ diastolic
จากการวัดด้วย sphygmomanometer สูงกว่าการวัดแรงดันโดยตรงจาก artery 10 มม.ปรอทหรือมากกว่า
การจัดท่าผู้ป่วย
โดยปกติมักใช้ท่านั่งในการวัดความดันโลหิต ส่วนการวัดความดันโลหิตในท่านอนจะมีความดันโลหิตที่แตกต่างจากท่า
นั่งเล็กน้อย คือ ความดัน systolic สูงขึ้น 2-3 มม.ปรอท และความดัน diastolic ลดลง 2-3 มม.ปรอท (6)
ในผู้สูงอายุ ควรวัดความดันโลหิตทั้งท่านอนและท่ายืน เพื่อดูภาวะ postural hypotension ซึ่งวินิจฉัยภายในเวลา 2-5
นาทีของท่ายืน โดยมีความดันsystolic ลดลงอย่างน้อย 20 มม.ปรอท หรือมีความดัน diastolic ลดลงอย่างน้อย 10 มม.ปรอท
หรือมีอาการของสมองขาดเลือดมาเลี้ยงเช่น วูบจะเป็นลม
ในการวัดความดันโลหิต ควรให้แขนที่วัดอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ ส่วนตัวเครื่องวัดอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด แต่ไม่จำ
เป็นต้องอยู่ระดับเดียวกับหัวใจ (2) ทั้งนี้ถ้าระดับแขนอยู่ต่ำกว่าหัวใจก็จะมีความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นจาก hydrostatic pressure อัน
เกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นถึง 10-12 มม.ปรอท (5)
นอกจากนี้ ผู้ถูกวัดควรนั่งนิ่งๆ ประมาณ 5 นาทีก่อนวัด (4) แต่อย่างไรก็ตามก็อาจเกิดภาวะ white coat hypertension
ซึ่งเป็นภาวะความดันโลหิตที่สูง ขึ้นจากความตื่นเต้น เฉพาะเมื่อพบแพทย์ พยาบาล โดยไม่ได้มีความดันสูงจริง พบภาวะนี้ได้ 20-
30% (7) ซึ่งสามารถตรวจยืนยันได้โดยการติดเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชม. (24 hour ambulatory BP monitoring)
การวาง cuff ในท่านั่ง
ควรวางตรงกลางกระเปาะของ cuff อยู่บนตำแหน่ง brachial artery pulsation ถ้าผู้ป่วยใส่เสื้อแขนยาวที่หนา ควรถอด
ออก เพราะการพับแขนเสื้อขึ้น อาจรัดต้นแขนส่วนบนได้เหมือนการทำ tourniquet test และปลายขอบล่างของ cuff ควรอยู่สูง
กว่าข้อพับแขน 2-3 ซม.
เทคนิคการวัดความดัน
ควรวัดความดันครั้งแรก โดยใช้การคลำ เพื่อประเมินค่าความดัน systolic คร่าวๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเกิด
auscultatory gap ขณะวัดความดันโดยใช้หูฟัง(5) (การวัดความดันโดยการคลำจะวัดได้เฉพาะความดัน systolic เท่านั้น)
หลังจากนั้นวัดความดันโดยใช้หูฟัง โดยบีบ cuff ให้สูงกว่าความดัน systolic ที่ได้จากการคลำ ประมาณ 30มม.ปรอท
แล้วค่อยๆปล่อยแรงดันลงช้าๆในอัตรา 2-3มม.ปรอทต่อ heart beat(ถือหลักขึ้นเร็ว ลงช้า”)
การเกิด auscultatory gap คือการที่เสียง korotkoff หายไปบางช่วงในขณะวัดความดันโดยใช้หูฟัง ซึ่งทำให้ค่าความดัน
ที่วัดได้ผิดพลาด ถ้าไม่ใช้เทคนิคที่ถูกต้องดังกล่าวข้างต้น เช่น ผู้ป่วยมีความดันโลหิต systolic 190มม.ปรอท ได้ยินเสียงแรก
(korotkoff phase I) ที่ 190มม.ปรอท เสียงหายไปในช่วง 160มม.ปรอท และกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้งในช่วง 140มม.ปรอท ดัง
นั้นถ้าบีบcuff ขึ้นแรงดันเพียง 150มม.ปรอท ก็จะไม่ได้ยินเสียงจนถึง 140มม.ปรอท ทำให้คิดว่าเสียงที่ตำแหน่ง 140มม.ปรอทเป็น
korotkoff phase I หรือความดันโลหิต systolic ซึ่งผิดพลาดอย่างมาก
นอกจากนี้การวางหูฟัง(stethoscope) ก็มีความสำคัญ ขณะวัดความดันไม่ควรกดหูฟังแน่นเกินไป เพราะจะทำให้เกิด
turbulence flow ทำให้เสียงหายไปช้ากว่าที่ควรเป็น ทำให้ค่าความดัน diastolic ต่ำกว่าความเป็นจริง ได้ถึง 10-15มม.ปรอท(5)
เสียงที่ได้ยินขณะวัดความดันโลหิต(Korotkoff sound)
- Korotkoff sounds คือเสียงที่เกิดจากการไหลของเลือดขณะกำลังวัดความดันโลหิต มีทั้งหมด 5 phases คือ
phase I เสียงตุบแรก=SBP
phase II เสียงฟู่
phase III เสียงฟู่ที่ดังขึ้น
phase IV เสียงแผ่วลง(muffled)
phaseVเสียงหาย=DBP ยกเว้นกรณีaortic regurgitation จะใช้phaseIVเป็นDBPเพราะใกล้เคียงค่าdiastolic intraarterial
pressure(2,8)
(ปกติphaseVจะห่างจากphaseIVไม่เกิน10มม.ปรอท ถ้าเกินกว่านี้ให้บันทึกผลทั้งค่าphaseIV&V เช่น BP 142/54/10มม.ปรอท ซึ่ง
พบได้ในเด็ก.ภาวะhigh outputเช่น aortic regurgitation,เลือดจาง.โรคไทรอยด์เป็นพิษ)
ในการวัดความดันครั้งแรก ควรวัดความดันทั้ง 2 แขน แรก เพราะอาจไม่เท่ากันได้….ถ้าต่างกันมากกว่า10มม.ปรอท
แสดงว่ามีการตีบของเส้นเลือดแดงที่มีความดันต่ำกว่า และให้ใช้ค่าความดันโลหิตข้างที่สูงเป็นหลัก
ในแต่ละครั้งที่ผู้ป่วยมาตรวจควรวัดความดันโลหิต2ครั้ง ห่างกัน1-2นาที ถ้าต่างกันมากกว่า5มม.ปรอท ให้วัดใหม่จนได้
ค่าความดัน2 ครั้งติดกันต่างกันไม่เกิน5มม.ปรอท
การวัดความดันโลหิตที่ขา
สามารถวัดได้ โดยต้องใช้ขนาด cuff ที่เหมาะสม ในคนปกติการวัดความดันโลหิตที่ขา มักสูงกว่าที่แขนประมาณ 10-
20%
การวัดความดันที่ข้อมือ
ใช้ได้ดีโดยเฉพาะในคนอ้วน หรือในรายที่ต้องการวัดความดันขณะออกกำลังกาย ค่าความดันที่ได้จะสูงกว่าความเป็น
จริง เนื่องจากข้อมืออยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ ดังนั้นถ้าจะให้ได้ค่าที่ถูกต้อง ต้องให้ข้อมืออยู่ระดับเดียวกับหัวใจ__
http://www.thaiheartclinic.com/PDF/BPmeasurement2.pdf

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มวยไทย (Thai boxing )



มวยไทย (Thai boxing )



 มนุษย์ รู้จักคำว่า "ต่อสู้" ตั้งแต่มนุษย์เริ่มเกิดลืมตามาดูโลก ต้องต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเองและแม้แต่กับตัวเองก็มิได้ละเว้นจะต้องสู้ ต้องต่อสู้กับธรรมชาติและภัยของธรรมชาติสิงสาราสัตว์ที่มุ่งร้ายหมายชีวิต หรือที่มนุษย์จะมุ่งเอาชีวิตเพื่อนำมาเป็นอาหารสำหรับยังชีวิตบางครั้ง มนุษย์ก็ต่อสู้กันเอง เพื่อสิทธิในการครอบครองเป็นเจ้าของ เพื่อเสรีภาพ เพื่อป้องกันตนเองหรืออื่นๆ การต่อสู้ดังกล่าวอาจจะต้องใช้กำลังกายกำลังใจและกำลังความคิดเข้ามาเกี่ยว ข้องด้วย
   มนุษย์ จะต่อสู้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็แล้วแต่จุดมุ่ง หมายสูงสุดของการต่อสู้ ความอยู่รอดของชีวิตจากการต่อสู้มนุษย์ก็ได้พยายามคิดค้นวิธีการต่อสู้ เพื่อป้องกันให้ถึงแก่ชีวิตได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือเมื่อทั้งสองฝ่ายมีอาวุธคู่มือการทำร้ายกันก็ทำได้ลำบากต่างก็ต้องเกรง ซึ่งกันและกันมนุษย์ก็พยายามใช้ความคิดที่จะหาหนทางเอาชนะ เอาชีวิตของคู่ต่อสู้ให้ง่ายและรวดเร็ว ป้องกันชีวิตตนเองให้ปลอดภัยมากขึ้นพยายามคิดค้นศึกษา ทดลอง ดัดแปลงแก้ไข เพื่อหาแนวทางที่จะต่อสู้และป้องกันตัวทั้งที่มีอาวุธและไม่มีอาวุธ ทำให้เกิดศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวขึ้นมา
มนุษย์ ในแต่ละซีกโลกหนึ่ง หรือแต่ละภาคของโลก ต่างก็มีวิธีการต่อสู้และป้องกันตัวเป็นของตนเอง และแตกต่างกับการต่อสู้ของมนุษย์ในอีกซีกโลกหนึ่ง ทั้งนี้เพราะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวแตกต่างกัน เช่น มนุษย์ในแถบขั้วโลกมีหิมะน้ำแข็งจับอยู่ตลอดปีหรือมีอากาศหนาวจัด การแต่งกายจะต้องแต่งด้วยเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อป้องกันความหนาวที่จะมาทำอันตรายต่อผิวหนัง ความคล่องตัวในการเตะต่อยไม่ค่อยมีการต่อสู้มักจะใช้ประโยชน์จากเครื่องแต่ง กายที่หนา โดยการจับรั้งเพื่อทำการทุ่ม หรือใช้ขอบเสื้อส่วนที่เป็นปกและคอเสื้อรัดคอหรือใช้เกี่ยวพันไม่ให้คู่ ต่อสู้เคลื่อนไหวได้ ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของการต่อสู้ป้องกันตัวแบบจับทุ่ม ได้แก่ ยูโด มวยปล้ำ ไอคิโด
สำหรับ มนุษย์ที่เกิดในบริเวณอากาศอบอุ่นและค่อนข้างร้อน การแต่งกายจะแต่งด้วยเสื้อผ้าที่บาง ไม่รุ่มร่าม มีความคล่องตัวในการเตะต่อยดีการต่อสู้จึงมักจะอาศัยการเตะต่อย ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของการต่อสู้ป้องกันตัว แบบเตะต่อย เช่น มวยไทย มวยสากล เสี้ยวลิ้มของจีนคาราเต้ของญี่ปุ่น หรือเทควันโดของเกาหลี เราจะสังเกตเห็นว่า ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวบางประเภทจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่นแขนงวิชาการเตะต่อย อาจกล่าวว่า ศิลปะประเภทนี้ก็อาจจะกล่าวได้ยาก เพราะการคิดค้นทดลองฝึกฝน มักจะเลียนแบบธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นความคล้ายคลึงกันจึงย่อมจะเป็นไปได้
มนุษย์ ได้พยายามคิดค้นการต่อสู้มือเปล่าเพื่อให้ตนเอง ปลอดภัยจากสิ่งรอบข้าง โดยใช้อวัยวะของร่างกายเป็นอาวุธเข้าต่อสู้ เช่น มือและเท้า กำหนดระเบียบแบบแผนมีหลักเกณฑ์ในการต่อสู้สิ่งต่างๆ รวมกันเรียกว่า "มวย"
บรรพบุรุษมีความเฉลียวฉลาดในการคิดค้น ดัดแปลงและพลิกแพลงในการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เช่น มือ, เท้า, เข่า, ศอก และศีรษะเข้าต่อสู้ป้องกัน ปิดป้องส่วนที่อ่อนแอของร่างกายได้เป็นอย่างดี วิธีการต่อสู้และป้องกันตนเองของไทย ซึ่งจะหาการต่อสู้ของชาติอื่นมาเทียบไม่ได้ การต่อสู้มือเปล่าของไทยเป็นศิลปะแห่งการต่อสู้ประจำชาติ เรียกว่า "มวยไทย"
มวย ไทยเป็นศิลปะของการต่อสู้ป้องกันตัวได้จริงสามารถนำ ไปใช้ได้ทั้งในการต่อสู้และในการกีฬา ศิลปะประเภทนี้บรรพบุรุษของชาติไทยใช้อบรมสั่งสอนสืบทอดกันมาให้ดำรงอยู่ ตลอดไป บรรดาชายฉกรรจ์จะได้รับการสั่งสอนฝึกฝนศิลปะประเภทนี้อย่างจัดเจนทั้งสิ้น การใช้อาวุธรบสมัยโบราณ เช่น กระบี่ กระบอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ นักรบไทยจะนำไปประกอบการต่อสู้ที่มีชั้นเชิงสูง เดิมมักจะฝึกสอนกันเฉพาะบรรดาเจ้านายชั้นสูงนับตั้งแต่พระมหากษัตริย์และขุน นางฝ่ายทหารเท่านั้น
ต่อ มาจึงแพร่หลายไปถึงสามัญชน ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการจากครูอาจารย์ ซึ่งเดิมเป็นยอดทหารขุนพล ยอดนักรบของชาติมาแล้วได้ละเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิต พยายามถ่ายทอดวิทยาการให้แก่ศิษยานุศิษย์ และสืบเนื่องมาจากไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ครูอาจารย์ที่สอนอยู่ในเพศบรรพชิตจึงทำให้มวยไทยกับศาสนาพุทธมีความสัมพันธ์ กันจนแยกไม่ออก ซึ่งจะสังเกตได้จากก่อนการชก นักมวยจะมีการไหว้ครู ร่ายมนต์คาถาตามร่างกายก็มีเครื่องรางของขลัง เช่น ผ้าประเจียดรัดแขน หรือมงคลสวมศีรษะ เป็นต้น
มวย ไทยเริ่มขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏ และไม่มีหนังสือเล่มใดเขียนไว้ว่าเกิดขึ้นในสมัยใดแต่เท่าที่ได้ปรากฏนั้น มวยไทยได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และอาจเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับชาติไทยด้วยซ้ำ เพราะมวยไทยนั้นเป็นศิลปะประจำชาติของไทยเราจริงๆ ยากที่ชาติอื่นจะเลียนแบบได้
มวย ไทยในสมัยก่อนเท่าที่ทราบจะมีการฝึกฝนอยู่ในบรรดา หมู่ทหาร เพราะในสมัยก่อนไทยเราได้มีการรบพุ่งและสู้รบกันกับประเทศเพื่อนบ้านบ่อยๆ การสู้รบในสมัยนั้นยังไม่มีปืนจะสู้กันมีแต่ดาบทั้งสองมือและมือเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้การรบพุ่งก็ต้องมีการประชิดตัว คนไทยเห็นว่าการรบด้วยดาบนั้นเป็นการรบพุ่งที่ประชิดตัวมากเกินไป บางครั้งคู่ต่อสู้อาจจะเข้ามาฟันเราได้ง่ายขึ้น ทำให้แพ้คู่ต่อสู้ได้
ต่อ มาเมื่อในหมู่ทหารได้รับการฝึกถีบ เตะแล้ว มีผู้คิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะใช้การถีบ และเตะนั้นมาเป็นศิลปะสำหรับการต่อสู้ด้วยมือได้ จึงได้มีผู้ที่คิดจะฝึกหัดการต่อสู้ป้องกันตัวสำหรับการใช้แสดงเวลามีงาน เทศกาลต่างๆ ไว้อวดชาวบ้าน และเป็นของแปลกสำหรับชาวบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้มานานเข้าชาวบ้านหรือคนไทยได้เห็นการถีบ-เตะอย่างแพร่หลาย และบ่อยเข้า จึงทำให้ชาวบ้านมีการฝึกหัดมวยไทยกันมากจนถึงกับตั้งเป็นสำนักฝึกกันมากมาย แต่สำนักที่ฝึกมวยไทยก็ต้องเป็นสำนักดาบที่มีชื่อดีมาก่อนและมีอาจารย์ดีไว้ ฝึกสอน ดังนั้นมวยไทยสมัยนั้นจึงฝึกเพื่อมีความหมาย 2 อย่างคือ
1. เพื่อไว้สำหรับสู้รบข้าศึก
2. เพื่อไว้ต่อสู้ป้องกันตั

ฟุตซอล (FUTSAL)

         ฟุตซอล(FUTSAL)เป็น กีฬาที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก และป็นกีฬาที่ได้รับความนิยม ในหมู่ของประชาชนคนไทยทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากกีฬาฟุตซอลเป็นเกมกีฬาที่สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจในทุก ๆ นาทีของการแข่งขัน และสามารถจัดการแข่งขันได้ตลอดทั้งปี แข่งขันได้กับทุกสภาพอากาศ ในปัจจุบันกีฬาฟุตซอลได้มีการพัฒนาไปมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านระบบการเล่นต่าง ๆ ที่ได้นำมาผสมปสานกับเป็นกีฬาประเภททีมที่ดูแล้วสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ โดยมีกฎกติกาเป็นตัวควบคุมการแข่งขัน ดังนั้นกฎกติกาที่ใช้จำเป็นต้องการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และเพิ่มเติมเสมอ
 
         ใน ปัจจุบันนี้กฎกติกาที่ใช้ในการแข่งขันฟุตซอล ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และยุติธรรมกับผู้เล่นในการแข่งขัน ซึ่งจะเห็นได้ว่ากติกาการแข่งขันได้มีการเปลี่ยนแปลง หากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในฝ่ายต่าง ๆ ไม่มีการติดตามการเปลี่ยนแปลง จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก จึงได้จัดทำข้อมูลเผยแพร่คู่มือการตัดสินฟุตซอลขึ้น โดย มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้บุคคลทุกฝ่ายทุกระดับชั้นได้มีความรู้ในเชิงกติกาอย่างถูกต้อง และเพื่อเผยแพร่ ให้กับบุคคลที่สนใจ ได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน อีกทั้งเป็นคู่มือในการศึกษาค้นคว้า การตัดสิน การฝึกสอน และการจัดการแข่งขัน ให้บุคคลทุกฝ่ายมีความรู้ความเข้าใจกติกาฟุตซอล สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์ในการพัฒนากีฬาฟุตซอลของประเทศชาติในโอกาสต่อไป
 

ปันจักสีลัต (Pencak Silat)







ปันจักสีลัต (Pencak Silat) เป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซียมาจากคำว่า ปันจัก (Pencak) หมายถึงการป้องกันตนเอง และคำว่า สีลัต (Silat) หมาย ถึงศิลปะ รวมความแล้วหมายถึงศิลปะการป้องกันตนเอง กีฬาประเภทนี้เดิมเป็นศิลปะการต่อสู้ของคนเชื้อสายมาลายู ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส และสงขลา เรียกว่า สิละ” “ดีกาหรือ บือดีกาเป็นศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า เน้นให้เห็นลีลาการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีบางท่านกล่าวว่า สิละมีรากคำว่า ศิละ ภาษาสันสกฤตท่ารำกำเนิดจากช่อดอกบอมอร์ในกระแสน้ำวน
          Mubin Sheppard ได้กล่าวถึงตำนานสิละไว้ว่า การต่อสู้แบบสิละมีมาตั้งแต่ 400 ปี มาแล้วโดยกำเนิดที่เกาะสุมาตรา ต่อมาผู้สอนได้ดัดแปลงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย ตำนานว่า สมัยหนึ่งสามสหายเชื้อสายสุมาตรา ชื่อ บูฮันนุดดิน ซัมซุดดิน และฮามินนุดดิน เดินทางจากมินังกาบัง ฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราไปศึกษาวิทยายุทธ ณ เมืองอะแจ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสุมาตรา สำนักวิทยายุทธนั้นอยู่ใกล้สระน้ำใหญ่ น้ำในสระไหลมาจากหน้าผาสูงชัน ริมสระมีต้นบอมอร์ ออกดอกสีม่วงสดกลมกลืนกับสีนกกินปลา ซึ่งถลาร่อนเล่นน้ำเนืองนิตย์ วันหนึ่ง ฮามินนุดดินไปตักน้ำที่สระแห่งนั้น เขาสังเกตเห็นว่าแรงน้ำตกทำให้น้ำในสระเป็นระลอกคลื่นหมุนเวียน และที่น่าทึ่งคือ ดอก บอมอร์ช่อหนึ่ง ซึ่งหล่นจากต้น ถูกน้ำพัดตกลงกลางสระแล้วจึงถอยย้อนกลับไปใกล้ตลิ่งลอยไปลอยมา เช่นนี้ประหนึ่งว่ามีชีวิต จิตใจ ฮามินนุดดิน เพิ่มความพิศวงถึงกับวางกระบอกไม้ไผ่ซึ่งบรรจุน้ำ แล้วจ้องมองดอกไม้ในสระเป็นเวลานาน จากนั้นชายหนุ่มรีบคว้าดอกไม้ช่อนั้นกลับมา เขาได้นำลีลาการลอยของดอกบอมอร์มาประยุกต์สอนการร่ายรำให้แก่เพื่อนทั้งสอง และช่วยกันคิดวิธีเคลื่อนไหวโดยอาศัยแขนขา เพื่อป้องกันฝ่ายปรปักษ์ วิชาสิละจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
ริ่มต้นด้วยการสาลามัต
     
          ก่อนนักสิละลงมือต่อสู้ ทั้งคู่จะทำความเคารพกันและกัน เรียกว่า สาลามัตคือ ต่างสัมผัสมือแล้วแตะที่หน้าผาก หลังจากนั้นจึงเริ่มวาดลวดลายร่ายรำตามศิลปะสิละ บางครั้งนักสู้ต่างกระทืบเท้าให้เกิดเสียงหรือมิฉะนั้นเอาฝ่ามือตีที่ต้นขา ของตนเอง เพื่อให้เกิดเสียงข่มขวัญปรปักษ์ เมื่อรำไปรำมา หรือก้าวไปถอยมา ประหนึ่งว่าเป็นการลองเชิงพอสมควรแล้วต่างหาทางพิชิตคู่ต่อสู้ คือหาจังหวะให้มือฟาดหรือใช้เท้าดันร่างกายฝ่ายตรงกันข้าม จังหวะการประชิดตัวนั้นดูเหมือนว่าจะห้ำหั่นกันชั่วฟ้าแลบ ขณะนั้นดนตรีก็โหมจังหวะกระชั้น พลอยให้คนดูระทึกใจ ฝ่ายใดทำให้คู่ต่อสู้ล้มลงหรืออาศัยการตัดสินจากผู้ดูรอบสนามว่าเป็นเสียง ปรบมือให้ฝ่ายใดดัง ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ
สิละของมุสลิมภาคใต้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

          • สิละยาโต๊ะ คือ สิละอาศัยศิลปะการต่อสู้ เมื่อฝ่ายหนึ่งรุกอีกฝ่ายหนึ่งต้องรับ ถ้ารับไม่ได้ก็จะตกไป เลยเรียกว่า สิละยาโต๊ะ (ตก) ส่วนมากใช้ในการแข่งขันประชันฝีมือ
          • สิละตารี (รำ) คือ สิละที่ต่อกรด้วยความชำนาญในจังหวะลีลาการร่ายรำ ส่วนมากแสดงเฉพาะ หน้าเจ้าเมืองหรือเจ้านายชั้นสูง
          • สิละกายอ (กริช) คือ สิละใช้กริชประกอบการร่ายรำไม่ใช้การต่อสู้จริง ๆ แต่อวดลีลากระบวนท่าทางต่อสู้ ส่วนมากแสดงในเวลากลางคืน
กีฬาปันจักสีลัตในปัจจุบัน
     
          กีฬาปันจักสีลัตได้เปลี่ยนโครงสร้าง โดยจัดประเภทของการแข่งขันซึ่งเดิมจัดให้มีการแข่งขัน 2 ประเภท ในการแข่งขันชิงแชมป์นานาชาติ และการแข่งขันชิงแชมป์โลก คือ ประเภทการต่อสู้จริง และการแสดงศิลปะการต่อสู้ (เป็นการแสดง) แต่การแข่งขันปันจักสีลัตในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 13-18 มีการแข่งขันเพียงประเภทเดียว คือ ประเภทการต่อสู้ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยแยกการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในการแข่งขันปันจักสีลัตชิงแชมป์โลก ปี 1997 ณ ประเทศมาเลเซีย และการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 19 ประเทศอินโดนีเซีย จนถึงปัจจุบัน